คลังข้อมูลดิจิทัล

  • สถานีรถไฟธนบุรี

    สถานีรถไฟธนบุรีเป็นสัญลักษณ์แห่งการพัฒนาการคมนาคมของประเทศไทยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่า 120 ปี ตั้งแต่การก่อตั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงการกลายเป็นเป้าหมายสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฟื้นฟูสู่บทบาทใหม่ในปัจจุบัน สถานีแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดเชื่อมต่อทางการคมนาคม แต่ยังเป็นสักขีพยานทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในแต่ละยุคสมัย รวมถึงการเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในงานสร้างสรรค์ทางวรรณกรรมไทยที่ยังคงความหมายและคุณค่าสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
  • ภูมิปัญญาท้องถิ่น : ดอกไม้จากผ้าใยบัว

    ดอกไม้จากผ้าใยบัว เป็นภูมิปัญญางานฝีมือที่ประณีตและสร้างสรรค์ จากชุมชนวัดหิรัญรูจี โดยมีปราชญ์ชุมชน คุณรัชดา ชัชวาลย์ปรีชา และ คุณสราวุฒิ ตรีวรรณ์ เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ โครงการนี้มุ่งหวังที่จะรวบรวมองค์ความรู้ในรูปแบบดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ยั่งยืน วัสดุอุปกรณ์ • คีมตัด • คีมบิด • กรรไกร • พลเทป (floral tape) • กาว • ลวดเงา มีทั้งสีเขียวและสีขาว • ผ้าบัว (ผ้าใยบัว) สำหรับทำกลีบและใบ ขั้นตอนการทำดอกไม้จากผ้าใยบัว การทำดอกบัวประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ ดังนี้ • การทำกลีบดอก: ◦ ใช้ลวดเงา แบ่งเป็น 3 ส่วน และตัด. ◦ นำลวดขวาทับซ้ายแล้วบิด 6 ครั้ง. ◦ หักกลางและนำเข้าพิมพ์ โดยให้เส้นลวด 2 เส้นล่างอยู่ตรงจุดแบ่งครึ่ง เพื่อให้กลีบตรงกัน. ◦ ดึงเส้นลวด 2 เส้นบนมาบิดประมาณ 5 ครั้ง ก็จะได้กลีบดอก. ◦ การเข้าผ้ากลีบ นำผ้าใยบัวมาคลุมกลีบ ให้ผ้าถึงครึ่งหนึ่งของพิมพ์ ดึงให้เรียบร้อย. ◦ ใช้เชือกพันประมาณ 5 ครั้ง แล้วดึงให้แน่น จากนั้นมัด 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้หลุด. ◦ ดอกบัวหนึ่งดอกจะใช้กลีบ 3 ขนาด คือ ขนาดเล็กสำหรับด้านใน ขนาดกลาง และขนาดใหญ่สำหรับชั้นนอกสุด. • การทำใบและใบเลี้ยง (ใบจากผ้าใยบัว) ◦ ใช้ลวดสีเขียว ตัดครึ่ง. ◦ จำนวนเส้นลวดที่ใช้ไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับขนาดที่ต้องการ เช่น 6 หรือ 8 เส้น เพื่อให้ใบมีรัศมีเท่ากัน. ◦ นำลวดขวาทับซ้ายแล้วบิด 6 ครั้ง. ◦ นำเส้นลวดใหม่มาต่อ โดยให้ตรงกับเส้นที่บิดไปแล้ว เพื่อให้รัศมีเท่ากัน. ◦ เมื่อได้ลวดครบตามต้องการแล้ว ให้นำหัวและท้ายมาชนกัน บิดให้เท่ากัน ขวาทับซ้ายแล้วบิด 6 ครั้ง. ◦ ดัดให้เป็นรูปใบ และใช้เชือกพัน. ◦ ตัดแต่งเส้นลวดให้เป็นรูปสันกลีบของใบ. ◦ การเข้าผ้าใบ: สอดผ้าจากข้างล่างขึ้นข้างบน และดึงผ้าให้ตึง. • การเข้าช่อดอก: ◦ เตรียมเกสรบัว โดยแบ่งครึ่งประมาณ 3 ส่วน. ◦ การเข้ากลีบชั้นที่ 1 ใช้กลีบ 5 กลีบ โดยให้ด้านในที่ไม่มีสันของลวดเข้าด้านใน. กลีบไม่จำเป็นต้องชิดโคนดอกมากนัก แต่ให้ลงมาต่ำหน่อย. ◦ การเข้ากลีบชั้นที่ 2: ใช้กลีบอีก 5 กลีบ โดยวางสับหว่างกับกลีบชั้นแรก. ◦ มีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ คือ เศษผ้าที่เหลือจากการตัดกลีบอย่าทิ้ง เพราะต้องนำมาพันโคนกลีบดอก เพื่อให้โคนดอกเท่ากันและเข้ากลีบได้แน่น. ◦ เมื่อเข้ากลีบเรียบร้อยแล้ว ให้พันด้วย พลเทป เพื่อซ่อนรอยเชือกที่พันไว้. สถานที่ตั้ง ซอยวัดหิรัญรูจี ถนนอินทรพิทักษ์ แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600
  • ภูมิปัญญาท้องถิ่น : ชาใบหม่อน

    การปลูกชาใบหม่อนได้กลายเป็นวิสาหกิจชุมชนในชุมชนประสานมิตร โดยเริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะช่วยเหลือผู้สูงอายุให้มีรายได้และมีสุขภาพที่ดีขึ้น ชาใบหม่อนมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย เช่น ช่วยลดความดันและไขมัน รวมถึงบำรุงสายตาและช่วยย่อยอาหาร กระบวนการผลิต - การคัดเลือกใบหม่อน - การล้าง - การหั่น - การลวก - การผึ่งแดด และการคั่วในตู้พลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ ชุมชนยังได้รับความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จในการออกแบบบรรจุภัณฑ์และการเพิ่มรสชาติที่หลากหลาย เช่น มะลิ เก๊กฮวย มะตูม เกสรบัวหลวง ส้ม หรือแอปเปิ้ล นอกจากชาแล้ว ชิ้นส่วนที่เหลือจากใบหม่อนยังถูกนำไปทำผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ทองพับและแยม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้ประโยชน์จากพืชหม่อนอย่างครบวงจรและยั่งยืน สถานที่ตั้ง ชุมชนประสานมิตร แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600
  • ภูมิปัญญาท้องถิ่น : หัวโขน บ้านศิลปะไทย

    ชุมชนบางไส้ไก่ ซึ่งมีประวัติยาวนานตั้งแต่ปลายกรุงธนบุรี โดยเริ่มต้นจากชุมชนลาวที่อพยพมา และโดดเด่นด้านศิลปวัฒนธรรม ประวัติและผู้ก่อตั้ง ก่อตั้งปี 2501 โดย นายสุข เพไพ (ผู้มีผลงานดีเด่นของประเทศไทย สาขางานช่างฝีมือ ปี 2534) นางเจริญ กิจราช ภรรยา (ผู้มีผลงานดีเด่นของกรุงเทพมหานคร ด้านการอนุรักษ์งานฝีมือ ปี 2543) ปัจจุบันดูแลโดย นายจักรพันธ์ เพไพ รุ่นที่ 2 ผลิตภัณฑ์ หัวโขนขนาดต่างๆ: หัวใหญ่สำหรับการแสดง หัวเล็ก-กลางสำหรับของที่ระลึก ประเภท: เศียรบูชา: พ่อแก่, พระพิฆเนศ, พระพิราพ หัวโขนรามเกียรติ์: ทศกัณฐ์, หนุมาน, พระลักษมณ์, พระราม กระบวนการผลิต (8 ขั้นตอน) 1.ปะหุ่น - ทาแป้งเปียกบนหุ่นปูน ปะกระดาษ 5-6 ชั้น 2.ตากแดด - ประมาณ 1 วัน 3.ปั้นหน้า - ใช้ดินปั้นคิ้ว ตา จมูก ปาก 4.ติดลาย - ใช้แม่พิมพ์กดลวดลายไทย 5.ลงรักปิดทอง - ทาสีน้ำมันเหลือง แล้วปิดทอง 6.ลงสีพื้น - ทาสีขาวเป็นพื้นฐาน 7.เขียนใบหน้า - ใช้สีอะครีลิคตามลักษณะตัวละคร 8.ติดพลอย - ติดพลอยบนเครื่องทรง สถานที่ตั้ง ชุมชนวัดบางไส้ไก่( ชุมชนบ้านลาว) ซอย หลังมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ถนนอิสรภาพ แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600
  • ภูมิปัญญาท้องถิ่น : ขนมกะรีมัน

    ชุมชนมัสยิดบ้านสมเด็จมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี เริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อสมเด็จพระบรมหาศรีสุริยวงศ์ชักชวนชาวมุสลิมจากภาคใต้มาช่วยพัฒนากรุงเทพฯ และมอบที่ดินให้อยู่อาศัย ชุมชนก่อตั้งอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2537 โดยประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายอาหารมุสลิมแบบภาคใต้ ขนมกะหรี่มัน มาจากคำว่า "มันเทศ" ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักที่ใช้ในปริมาณมาก ความสำคัญ ขนมกะหรี่มันเป็นมากกว่าขนมธรรมดา แต่เป็นความทรงจำและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ชุมชนพยายามอนุรักษ์ โดยได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา และมีคนรุ่นใหม่เริ่มให้ความสนใจมากขึ้น วิธีการทำขนมกะหรี่มัน ส่วนผสมหลัก แป้ง : มันเทศต้มนวดและนวดกับแป้ง ไส้ : มันเทศหั่นเต๋า, เนื้อไก่สับ, สามเกลอ, ผงกะหรี่, เครื่องปรุง เทคนิคการทอด: - ใช้น้ำมันบัว ทอดไฟอ่อน - ชุบด้วยไข่เป็ดผสมไข่ไก่ - โรยไข่ตีบนขนมหลังทอดเสร็จ น้ำจิ้ม ประกอบด้วย - น้ำส้มสายชู - น้ำตาล - เกลือ พร้อมแตงกวา หอมแดง พริกแดงจินดา สถานที่ตั้ง มัสยิดบ้านสมเด็จ ซอยอิสรภาพ 15 ถนนอิสรภาพ แขวง หิรัญรูจี เขต ธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600
  • เอกสารสารสนเทศเศรษฐกิจการเกษตรรายสินค้า ปี ๒๕๖๗

    เอกสารสารสนเทศเศรษฐกิจการเกษตรรายสินค้า ปี ๒๕๖๗ จัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการยกระดับสินค้าเกษตรมูลค่าสูง ตามนโยบายรัฐบาล โดยรวบรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการผลิต การตลาด และมาตรการของสินค้าเกษตร 36 รายการ รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจการเกษตร เช่น การใช้ที่ดิน ปริมาณฝน อุณหภูมิ เศรษฐกิจครัวเรือน และปฏิทินสินค้าเกษตร ทั้งนี้ได้ใช้ข้อมูลจากหน่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น USDA, FAO, ITRC และ ANRPC.
  • สถิติการเกษตรของประเทศไทย ปี ๒๕๖๗

    สถิติการเกษตรของประเทศไทย ปี ๒๕๖๗ จัดทำขึ้นเพื่อสถิติการเกษตรของประเทศไทย ปี 2567 จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลด้านการเกษตรที่ครบถ้วนและน่าเชื่อถือ สำหรับใช้ในการวางแผน นโยบาย วิเคราะห์แนวโน้ม สนับสนุนการวิจัย และให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลเพื่อการตัดสินใจหรือใช้งานในด้านต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Using Microteaching Method to Improve Basketball Technical Ability for Undergraduate Students

    The objectives of this research were to 1) study the factors to improve basketball technical ability for undergraduates, and 2) examine the effects of implementing microteaching method. The sample group consists of 30 undergraduates, at Qingdao Agricultural University in China, who were selected through the cluster random sampling. The research instruments were 1) lesson plans by using microteaching method, and 2) basketball technical ability achievement test. The assessment questions aimed to assess two sub-variables within the dependent variable, including: (1) paper test of basketball knowledge, and (2) operation achievement. The research was analyzed by data analyzed on frequency, percentage, interpretation, mean, and standard deviation for confirmation of instructional model. The results were as followings: 1. Microteaching method consisted of 5 steps, 1) Preparing teaching materials in advance, 2) Conducting role simulation, 3) Recording by camera, 4) Replaying and observing, 5) Feedback and evaluation. The research was used in Qingdao Agricultural University in China, and the contents of the course included three units, totaling 18 hours. After programmed evaluation, it was found that students’ basketball technical ability was improved obviously. 2. After implementing microteaching method, it was found that 30 students who enrolled in microteaching method was at good level. The mean was 27.77 before the test, the mean was 45.40 after the test, and the difference value was 17.63. It was found that students’ basketball technical ability was improved obviously. Keywords: Microteaching Method, Basketball Technical Ability, Undergraduate Students
  • การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการทำงานเป็นทีมของนักศึกษาครูในมหาวิทยาลัยราชภัฏ

    การวิจัยนี้เป็นการวิจัยการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมแบบผสมผสาน เพื่อเสริมสร้าง สมรรถนะการทำงานเป็นทีมของนักศึกษาครูในมหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนา หลักสูตรการฝึกอบรมแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการทำงานเป็นทีมของนักศึกษาครูในมหาวิทยาลัยราชภัฏ 2) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะการทำงานเป็นทีมของนักศึกษาครูในมหาวิทยาลัยราชภัฏก่อนและหลังการฝึกอบรม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อหลักสูตรฝึกอบรมแบบผสมผสาน เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการทำงานเป็นทีมของนักศึกษาครูที่เข้ารับการฝึกอบรมตามหลักสูตร กลุ่ม ตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาครู คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ชั้นปีที่ 2 จำนวน 25 คน ซึ่ง ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย 1) หลักสูตรฝึกอบรม 2) แบบประเมินหลักสูตรฝึกอบรม 3) แบบวัดสมรรถนะการทำงานเป็นทีม และ4) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อหลักสูตรฝึกอบรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1. หลักสูตรฝึกอบรมแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการทำงานเป็นทีม ประกอบด้วย หลักการของหลักสูตรฝึกอบรม วัตถุประสงค์ของหลักสูตรฝึกอบรม เนื้อหา/หัวข้อและระยะเวลาในการ ฝึกอบรม วิธีการฝึกอบรม สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ และการประเมินผล โดยพบว่า ภาพรวมผลการตรวจสอบ ความเหมาะสมของหลักสูตรการฝึกอบรมแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการทำงานเป็นทีม ของนักศึกษาครูในมหาวิทยาลัยราชภัฏ อยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด (x̅= 4.60, S.D.=0.09) เมื่อ พิจารณารายด้าน พบว่า ประเด็น สื่อ/แหล่งการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับความเหมาะสมมากที่สุด (x̅=4.73, S.D.=0.46) และด้านการประเมินผล ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับเหมาะสมต่ำที่สุดคือ (x̅ = 4.40, S.D.=0.74) 2.ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะการทำงานเป็นทีมพบว่า นักศึกษามีสมรรถนะการทำงาน เป็นทีมหลังเข้ารับการฝึกอบรมด้วยหลักสูตรฝึกอบรมแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ การทำงานเป็นทีม โดยโดยมีค่าเฉลี่ยก่อนฝึกอบรมเท่ากับ 16.64 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.71 และค่าเฉลี่ยหลังฝึกอบรมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 29.12 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.66 ค่า t เท่ากับ 19.20* (p-value =0.00 < 0.5) ดังนั้น แสดงว่า ความรู้หลังการฝึกอบรมแบบผสมผสานเพื่อ เสริมสร้างสมรรถนะการทำงานเป็นทีม สูงกว่าก่อนการฝึกอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การเสริมสร้างสมรรถนะ การทำงานเป็นทีมของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก ที่สุด (x̅= 4.71, S.D.=0.48) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านเนื้อหาของหลักสูตรฝึกอบรม อยู่ในระดับมากที่สุด (x̅=4.72, S.D.=0.46) รองลงมาเป็นด้านความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรม (x̅ = 4.70, S.D.=0.48) นักศึกษาครูมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด ในส่วนที่นักศึกษาเห็นด้วย ต่ำที่สุด คือ ด้านวิทยากร (x̅ = 4.57, S.D.=0.50) อยู่ในระดับมากที่สุด คำสำคัญ : หลักสูตรฝึกอบรมแบบผสมผสาน สมรรถนะการทำงานเป็นทีม นักศึกษาครู
  • Using Cooperative Learning Model to Improve Mathematics Logic Ability for Senior High School Students

    The purpose of this research was to 1) To use cooperative learning model to improve mathematics logic ability for senior high school students. 2) To compare senior high school students’ mathematics logic ability before and after the implementation based on cooperative learning model. The sample group consisted of 50 senior high school students, No. 2 Senior High School of Panzhou City, Guizhou Province, China, who were selected through the cluster random sampling. The research instruments were 1) lesson plans using cooperative learning model, and 2) mathematics logic ability by data analyzed by frequency, percentage, interpretation, mean, and standard deviation for confirmation. The results revealed the followings: 1. Development of a model consisted of 5 components i.e., principle & rationale, objectives, contents, methods of teaching & materials, and evaluation. The research included three units, totaling 12 hours. 2. After implementing cooperative learning model, it was found that 50 students who enroll in the math course was at good level and cooperative learning model was successful in enhancing students’ mathematics logic ability. Keywords: Cooperative Learning Model, Mathematics Logic Ability, Senior High School Students
  • Using Simpson Instructional Model to Improve Volleyball Skill of Undergraduate Students

    The objectives of this research were 1) to use Simpson Instructional Model to improve volleyball skills of undergraduate students and 2) to compare students’ volleyball skills before and after the implementation based on Simpson Instructional Model. The sample group of the study consisted of 30 freshmen at Chongqing Vocational College of Media in China, through cluster random sampling. The research instruments included 1) lesson plans based on Simpson Instructional Model and 2) volleyball skill achievement test. The assessment questions aim to assess two subvariables within the dependent variable, including: (1) multiple choice test of concept volleyball knowledge and (2) performance assessment. The data were analyzed by mean, and standard deviation and t-test for dependent sample. The research result was as follows: 1. Using the Simpson Instructional Model to improve volleyball skill of undergraduate students. The researcher has studied the documents and research related on Simpson Instructional Model and synthesized into 7 steps: 1) Perception, 2) Preparation, 3) Guided response, 4) Mechanism, 5) Complex response, 6) Adaptation, and 7) Creation. The data analysis was assessment of the quality of the lesson plan by 3 experts, and the results are shown the quality of the lesson plan by experts overall, the suitability of the research objectives has the most suitable. After 30 students have learned according to the 3 lesson plans, the results are shown, students’ achievement of the volleyball skill the average score after learning was 48.97 which was higher than the average score before learning was 28.70. result found that students' volleyball skill score after learning higher than before learning statistically significant at the level .01 for all contents. Therefore, Simpson Instructional Model could improve students’ volleyball skill. Keywords:Simpson Instructional Model, Volleyball Skill, Undergraduate Students
  • Badminton Skills Improvements Through First Principles of Instruction of Vocational Students of Zhengzhou Vocational College of Finance and Taxation

    The purpose of this study is: 1) To improve Badminton skills of vocational students Zhengzhou Vocational College of Finance and Taxation by using First principles of instruction; 2) To compare vocational students' Badminton skills before and after the implementation of First principles of instruction. The sample group Zhengzhou Vocational College of Finance and Taxation of 36 students. from a random sample of a specific group. The research tools include 1) teaching plans based on First principles of instruction; 2) Badminton ability test. The data were statistically analyzed, and the standard deviation and t test were dependent samples. The results show that: 1. First principles of instruction can effectively improve the vocational students' Badminton skills. 2. After First principles of instruction, the vocational students' badminton skills is significantly higher than that before teaching. Keywords:First Principles of Instruction, Vocational Students, Badminton Skills.
ค้นหาทั้งหมด